วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

จุดเริ่มต้น ของ NIKE

         
        Nike คือ บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬา ซึ่งเป็นที่นิยมของนักกีฬาที่มีชื่อเสียงทั่วโลก บริษัทก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1964 โดยฟิล ไนต์ (Phil Knight) และ บิลล์ เบาเวอร์แมน (Bill Bowerman) ไนต์เป็นนักกรีฑาของมหาวิทยาลัยออริกอน เขาได้รู้จักเบาเวอร์แมนในฐานนะผู้ฝึกสอนวิ่งของตน ในเวลานั้น นักกีฬาประเภทลู่และลานชาวอเมริกันส่วนใหญ่ใส่รองเท้ากีฬาของต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองไม่ค่อยชอบนัก ไนต์ไม่ชอบเพราะราคาแพงเกินไป ส่วนเบาเวอร์แมนไม่ถูกใจเรื่องคุณภาพ

Phil Knight
ฟิล ไนต์ (Phil Knight)

         
         เบาเวอร์แมน รู้ดีว่า สถิติที่ดีของนักกีฬาขึ้นอยู่กับคุณภาพของรองเท้า ดังนั้นเขาจึงซื้อรองเท้าคู่ใหม่ แล้วพิจารณาดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ลองทำรองเท้าขึ้นใช้เอง พอไนต์ได้เห็นก็เกิดความคิดว่าในอนาคตเขาจะทำธุรกิจรองเท้า เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย ไนต์ก็ก่อตั้งบริษัทผลิตรองเท้า โดยได้รับความช่วยเหลือจากเบาเวอร์แมน ข้อมูลบางแหล่งบันทึกไว้ว่า ประวัติของไนกี้ เริ่มต้นเมื่อ ค.ศ.1972 ถ้าอย่างนั้นระหว่าง ค.ศ.1964 กับ ค.ศ.1972 อย่างไหนเป็นข้อมูลที่ถูกต้องละ คำตอบคือถูกทั้ง 2 ข้อ เพราะในปีแรกที่ก่อตั้งบริษัท ไม่ได้ใช้ชื่อว่าไนกี้ แต่ใช้ชื่อว่า “บลูริบบอนสปอร์ต
          ในปี ค.ศ.1971 ได้เริ่มติดชื่อไนกี้บนสินค้าที่ผลิตจากบลูริบบอนสปอร์ต หลังจากนั้นสินค้าที่ติดสัญลักษณ์ไนกี้ ก็เป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อยๆ จนปี ค.ศ.1972 จึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Nike ซึ่ง Nike หมายถึง  เทพีแห่งชัยชนะในตำนานของกรีก ซึ่งในสำเนียงกรีกอ่านว่า “นีกี้Nike คือภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงมีสัญลักณ์เป็นเครื่องหมายถูก ซึ่งใช้แทนปีกของเทพีไนกี้ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ สัญลักษณ์เครื่องหมายถูกของ Nike มีราคาเพียง 35 ดอลลาร์ ผู้ออกแบบคือนักศึกษาปริญญาโทที่ชื่อ แคโรลีน เดวิดสัน ถือเป็นการซื้อลิขสิทธิ์ในราคาถูกแสนถูก คิดเป็นเงินไทยไม่ถึงสองพันบาทด้วยซ้ำ

Bill Bowerman บิลล์ เบาเวอร์แมน
บิลล์ เบาเวอร์แมน (Bill Browerman)
             หลังจากก่อตั้งบริษัทได้ 30 ปี Nike ก็เติบโตขึ้นมาก ยอดขายในหนึ่งปีมีประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในธุรกิจอุปกรณ์กีฬาคู่แข่งหลายบริษัท แต่ Nikeประสบความสำเร็จได้ก็เพราะความพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพที่ดีกว่า ความพยายามที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ได้ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ มีการพัฒนาสินค้าแบบใหม่ๆ มีลูกค้าชื่นชอบว่ารองเท้ากีฬาที่ให้ความรู้สึกสบายและถนอมเท้า ซึ่งการจับจุดที่ถูกต้องเป็นผลทำให้ Nike เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาที่มีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้บริษัทผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ มักทุมเงินจำนวนมากไปกับการโฆษณา ที่ใช้นักกีฬาดังๆ เป็นผู้นำเสอนสินค้า Nike ก็เช่นเดียวกันเพราะการให้ผู้บริโภคเห็นว่า นักกีฬาที่มีชื่อเสียงใช้สินค้าของบริษัทตนมีผลประโยชน์มหาศาลต่อสินค้า ในช่วงแรกของการตั้งบริษัท Nike พยายามให้นักกรีฑาลู่และลานใส่รองเท้าของบริษัทตน ซึ่งปรากฏว่า นักกีฬาหลายคนที่ใส่ Nike ทำผลงานได้ดีในการแข่งขัน ดังนั้นในปี ค.ศ.1970 นักกีฬาของสหรัฐอเมริกาจำนวนหนึ่ง จึงใส่รองเท้าNike เข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นนักวิ่งมาราทอนถึง 70%  รองเท้า Nike จึงเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะตรงกับช่วงที่คนอเมริกันนิยมวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกาย

         รองเท้า Nike จึงขายดี เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าและสีสันสดใสกว่าร้องเท้ารุ่นเก่าๆ การโฆษณาโดยใช้นักกีฬาชื่อดัง ไม่ได้มีลูกค้าเป้าหมายแค่นักกรีฑาเพียงอย่างเดียว ปลายทศวรรษที่ 1970 Nike ทำสัญญากับจอร์น แม็กเคนโร นักกีฬาเทนนิส จึงทำให้ขอบเขตการผลิตรองเท้าขยายออกไปแล้วแม็กเคนโรก็ได้รับชัยชนะจากการแข่งขัน จึงเป็นผลทำให้Nikeเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ Nike ยังทำสัญญากับไมเคิล จอร์แดน  นักบาสเกตบอลผู้โด่งดังของสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก Nike มีแผนจะบุกตลาดรองเท้าบาสเกตบอล ผลของโฆษณาที่มีจอร์แดนเป็นนายแบบโฆษณายอดเยี่ยมมาก ผู้คนในช่วงปลายทศวรรษ 1980 จดจำ Nikeได้เกือบหมด จอร์แดนทำให้ Nike ก้าวไปอยู่แถวหน้าในตลาดรองเท้ากีฬา

      
           หลังจากนั้น Nike จึงขยายตลาดออกไปสู่กีฬาอีกหลายชนิด ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟชื่อดังกลายเป็นผู้นำเสอนสินค้าคนใหม่ และอังเดร อากาสซี  นักเทนนิสชื่อดัง ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ของไนกี้ นอกจากนั้นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปีค.ศ.2000 ไนกี้ยังได้สนับสนุนชุดนักกีฬาทีมชาติของ 17 ประเทศทั่วโลกด้วย



            หลังจากก่อตั้งบริษัท Nike ก็คิดค้นเทคนิคใหม่ๆมากมาย ดังนั้นแม้จะเริ่มทำเฉพาะรองเท้ากีฬา แต่ปัจจุบัน Nike ก็มีสินค้าถึง 200 ชนิด สิ่งที่แสดงถึงเทคนิคของ Nike คือ “วาฟเพิลบอลทอมพีช” และ “ไนกี้แอร์” ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งบริษัท วาฟเพิลบอลทอมพีชเป็นรากฐานทำให้ Nike ประสบความสำเร็จ ส่วนไนกี้แอร์เป็นกุญแจสำคัญของการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ หลายๆคนคงเคยกินวาฟเพิลหรือขนมรังผึ้ง เบาเวอร์แมนเห็นแบบพิมพ์ที่ภรรยาใช้ทำขนมวาฟเพิล แล้วเกิดความคิดดีๆขึ้นมา เขาใส่ยางเข้าไป จึงได้ วาฟเพิลยาง จากนั้นก็ตัดแล้วนำไปติดที่ใต้รองเท้า เขาเชื่อว่ามันจะลดความลื่น ซึ่งจะช่วยให้นักกีฬามีสถิติดีขึ้น และยังป้องกันการบาดเจ็บอีกด้วย

           แล้วเสียงตอบรอบจากนักกีฬาก็ไม่เลวเลยแผ่นยางวาฟเพิลมีความยืดหยุ่นดีมาก การคิดค้นเทคนิคนี้ทำให้ผู้คนเห็นว่า Nike ไม่ใช่แค่บริษัทที่ทำรองเท้าด้วยวิธีเก่าๆ ส่วนไนกี้แอร์น่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า มันกระโดดข้ามแผ่นวาฟเพิลไปเลย ด้วยการใช้เทคนิคใส่อากาศเข้าไปในรองเท้า เพื่อลดการกระแทกของเท้า ผู้คิดค้นการใส่อุปกรณ์ที่ใช้อากาศ เข้าไปติดกับรองเท้าเป็นคนแรกคือ เอ็ม แฟรงก์ รูดี้ ซึ่งตอนนั้นทำงานในองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NASA) รูดี้มั่นใจว่าอุปกรณ์ที่เขาคิดขึ้นจะช่วยลดแรงกระแทกที่เท้าและข้อเท้าของนักกีฬาได้ดี ดังนั้นเขาจึงนำความคิดของตัวเองไปเสนอบริษัทต่างๆ


เอ็ม แฟรงค์ รูดี้ และผู้คิดค้น Nike air
       แต่ไม่มีบริษัทไหนรับฟังข้อเสนอของรูดี้เลย ยกเว้นบริษัทเดียวคือ Nike ที่รับฟังความคิดของเขาอย่างจริงจัง แต่การทำช่องอากาศในชั้นรองเท้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรองเท้ากีฬาจำเป็นต้องบาง หลังจากที่รู้ดีกับไนต์ทดลองกันอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ได้ “ไนกี้แอร์” ออกมา เมื่อนักกีฬาใส่รองเท้าไนกี้แอร์ ทำลายสถิติหลายรายการ ไนกี้แอร์ ก็ขายดีทันที แม้ราคาจะแพงมากก็ตาม


Nike air max 2012

        หลังจากนั้น Nike ก็คิดค้นรองเท้าที่มีเทคโนโลบีที่เกี่ยวกับอากาศขึ้นอีกมากมายหลายอย่าง  ทำให้สินค้าที่มีชื่อ "แอร์" ออกมามากมาย และทาง Nike ยังคิดค้นรองเท้าที่สามารถสวมใส่ในน้ำได้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น